คลินิกจิตเวชกับการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ – บริการและวิธีรักษาที่ควรรู้

คลินิกจิตเวชกับการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์

คลินิกจิตเวชกับการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดปกติทางอารมณ์ที่พบได้บ่อยในการดูแลสุขภาพจิตของประชากรยุคปัจจุบันโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงสุดขั้วสองแบบสลับกัน ระหว่างช่วงอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ (mania) และช่วงอารมณ์เศร้าซึมผิดปกติ โดยไม่ได้ขึ้นกับสถานการณ์ภายนอกใดๆ โรคนี้ส่งผลกระทบทั้งต่ออารมณ์ ความคิด พฤติกรรม และการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก การได้รับการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างเหมาะสมในคลินิกจิตเวชจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ทำความรู้จักโรคไบโพลาร์เบื้องต้น

โรคไบโพลาร์เป็นโรคทางจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ขึ้นลงสุดขั้ว ผู้ป่วยไบโพลาร์จะมีช่วงที่อารมณ์ดีผิดปกติ หรือหงุดหงิดก้าวร้าวผิดปกติ สลับกับช่วงที่รู้สึกเศร้าและหมดหวังรุนแรง ในช่วงอารมณ์ซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจมีความคิดด้านลบ เบื่อหน่ายสิ้นหวัง และบางรายมีความคิดอยากทำร้ายตนเองหรือต้องการฆ่าตัวตาย ส่วนช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ ผู้ป่วยอาจรู้สึกคึกคักผิดธรรมดา นอนน้อยแต่ไม่ง่วง พูดเร็วความคิดแล่นเร็ว มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น เช่น ใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือทำกิจกรรมเสี่ยงโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ อาการเหล่านี้ของโรคไบโพลาร์อาจกินเวลาตั้งแต่หลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวันหรือหลายสัปดาห์ และส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้ป่วยและคนรอบข้างอย่างมาก

โรคไบโพลาร์พบได้ประมาณ 2–5% ของประชากรทั่วไป โดยมักเริ่มแสดงอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุเฉลี่ยประมาณ 25 ปี) ผู้ป่วยเพศหญิงมีแนวโน้มพบโรคนี้ได้มากกว่าเพศชาย นอกจากนี้โรคไบโพลาร์ยังถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจนำไปสู่ปัญหาการทำร้ายตนเองและการฆ่าตัวตาย หากผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม การตระหนักรู้และเข้าใจถึงธรรมชาติของโรคจะช่วยให้การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการเข้ารับคำปรึกษาและประเมินอาการที่คลินิกจิตเวชกับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงสำคัญอย่างยิ่งในการเริ่มต้นกระบวนการรักษา

ความสำคัญของการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างถูกวิธี

การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการของโรคและดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด โรคไบโพลาร์สามารถรักษาได้และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวจากอาการจนกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมภายในไม่กี่สัปดาห์ เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม โดยทั่วไปแนวทางการรักษาโรคไบโพลาร์จะประกอบด้วยการใช้ยาทางจิตเวชควบคู่กับการทำจิตบำบัด ตลอดจนการปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งการรักษาแบบบูรณาการเช่นนี้ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์และทีมสหวิชาชีพจะช่วยให้สามารถเอาชนะโรคไบโพลาร์ได้ในระยะยาว

ในทางกลับกัน หากผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ผู้ป่วยอาจมีอาการกำเริบรุนแรงซ้ำได้บ่อย โรคไบโพลาร์มีอัตราการกลับเป็นซ้ำสูงถึงประมาณ 90% ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีโอกาสเกิดอาการอีกหลังจากหายดีหากหยุดการรักษาเร็วเกินไปหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนั้นจิตแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรับการรักษาและกินยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาขั้นต่ำประมาณ 2 ปี (สำหรับผู้ป่วยที่เป็นครั้งแรก) เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของอาการ และในบางรายอาจต้องนานกว่านั้นตามความรุนแรงและความถี่ที่เคยเกิดอาการ การดูแลที่ถูกวิธีและต่อเนื่องในคลินิกจิตเวชจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมโรคนี้ให้อยู่หมัดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายตัวเองหรือปัญหาในการดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ

บทบาทของคลินิกจิตเวชในการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์

คลินิกจิตเวชมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการให้การบริการเกี่ยวกับจิตเวชแบบครบวงจรแก่ผู้ป่วยไบโพลาร์ ตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินวินิจฉัยไปจนถึงการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง โดยคลินิกจิตเวชจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยา และทีมสหสาขาวิชาชีพอื่นๆ ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ในคลินิกจิตเวชครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ การให้ยารักษาโรคไบโพลาร์ การทำจิตบำบัดปรึกษา และการติดตามอาการระยะยาว ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายร่วมกันคือเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้ดีและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือบริการหลักๆ ในคลินิกจิตเวชกับการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ที่สำคัญ:

การวินิจฉัยและประเมินอาการผู้ป่วยไบโพลาร์

ขั้นตอนแรกที่คลินิกจิตเวชจะดำเนินการคือ การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์ อย่างถูกต้องแม่นยำโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระบวนการนี้รวมถึงการซักประวัติอาการทางอารมณ์ของผู้ป่วยอย่างละเอียด การตรวจสภาพจิตใจด้วยแบบสอบถามเฉพาะ และการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อแยกสาเหตุทางกายที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกัน นอกจากนี้แพทย์จะสอบถามข้อมูลจากญาติหรือผู้ใกล้ชิดของผู้ป่วยร่วมด้วย เนื่องจากข้อมูลจากคนรอบข้างสามารถช่วยให้เห็นภาพพฤติกรรมและอารมณ์ของผู้ป่วยในชีวิตจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคทางจิตเวชหรือไม่ หรือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ผู้ป่วยอย่างไรบ้าง การประเมินอย่างรอบด้านเช่นนี้จะทำให้จิตแพทย์สามารถวินิจฉัยได้แน่ชัดว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นเข้าข่ายโรคไบโพลาร์หรือภาวะอื่น เมื่อได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องแล้ว จิตแพทย์จะสามารถวางแผนการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

การรักษาโรคไบโพลาร์ด้วยยา

การรักษาโรคไบโพลาร์ ส่วนใหญ่จะเน้นการใช้ยาเป็นหลัก เนื่องจากโรคนี้มีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง การใช้ยาทางจิตเวชจะช่วยปรับสารเคมีเหล่านี้ให้อยู่ในระดับปกติและควบคุมอารมณ์ของผู้ป่วยให้คงที่ขึ้น ยาหลักๆ ที่จิตแพทย์มักใช้รักษาผู้ป่วยไบโพลาร์ ได้แก่ ยาควบคุมอารมณ์ (Mood stabilizers) เช่น ลิเทียม, ยากลุ่มกรดวาลโปรอิก หรือคาร์บามาซีปีน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้อารมณ์เหวี่ยงขึ้นลงอย่างรุนแรง, ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) สำหรับลดอาการหลงผิดหรืออาการรุนแรงในช่วง mania และ ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants)

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้าหนัก (การใช้ยาต้านซึมเศร้าต้องอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดช่วง mania ได้) ผู้ป่วยจำเป็นต้องพบแพทย์และรับประทานยาอย่างเคร่งครัดต่อเนื่องตามที่กำหนด โดยทั่วไปยาอาจใช้เวลา 2–4 สัปดาห์จึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน สิ่งสำคัญคือต้องไม่หยุดยาเองกะทันหันแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพราะการหยุดยาโดยพลการอาจทำให้อาการกำเริบรุนแรงขึ้นหรือกลับมาเป็นซ้ำอีก นอกจากนี้จิตแพทย์จะนัดหมายผู้ป่วยมาติดตามผลเป็นระยะเพื่อตรวจดูประสิทธิผลของยาและปรับขนาดยาตามความเหมาะสม ตลอดจนตรวจสอบผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการง่วงซึม น้ำหนักเปลี่ยนแปลง หรือระดับสารเคมีในเลือด (ในกรณีใช้ลิเทียม) เพื่อให้การรักษาด้วยยามีความปลอดภัยและได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

จิตบำบัดและการให้คำปรึกษา

นอกจากการใช้ยาแล้ว จิตบำบัด (Psychotherapy) ก็เป็นอีกส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ในคลินิกจิตเวช จิตบำบัดคือการพูดคุยให้คำปรึกษาและทำการบำบัดทางจิตใจกับผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งอาจดำเนินการโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิก โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตนเองและโรคที่ตนเป็นอยู่มากขึ้น วิเคราะห์สาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นที่ส่งผลต่ออารมณ์ของตน และพัฒนาทักษะในการรับมือกับความเครียดหรือปัญหาในชีวิตประจำวัน รูปแบบของจิตบำบัดที่ใช้บ่อยในการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ ได้แก่ การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT)

ซึ่งช่วยปรับความคิดเชิงลบและสร้างแนวคิดเชิงบวกเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิต, การบำบัดแบบให้ความรู้ผู้ป่วย (Psychoeducation) ซึ่งให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ อาการ และวิธีจัดการโรค, รวมถึง การบำบัดแบบครอบครัว (Family-focused therapy) ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกครอบครัวมีส่วนร่วมในการบำบัด ช่วยลดความขัดแย้งในครอบครัวและเรียนรู้วิธีสนับสนุนผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ คลินิกจิตเวชหลายแห่งยังมีบริการกลุ่มสนับสนุน (Support group) สำหรับผู้ป่วยไบโพลาร์หรือญาติ ให้ได้แบ่งปันประสบการณ์และคำแนะนำซึ่งกันและกัน ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ การทำจิตบำบัดและให้คำปรึกษาเหล่านี้ควบคู่ไปกับการใช้ยาจะช่วยให้ผู้ป่วยสร้างกลไกในการจัดการอารมณ์ที่ดีขึ้น ลดความถี่และความรุนแรงของการกำเริบของโรค และช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

การติดตามผลการรักษาและการดูแลต่อเนื่อง

เมื่อผู้ป่วยไบโพลาร์ได้รับการรักษาในเบื้องต้นจนควบคุมอาการได้ระดับหนึ่งแล้ว คลินิกจิตเวชจะยังคงมีบทบาทในการติดตามผลและดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องระยะยาว การติดตามผลเป็นสิ่งจำเป็นเพราะโรคไบโพลาร์มีลักษณะเรื้อรังและมีโอกาสกลับมาแสดงอาการได้ การดูแลต่อเนื่องในคลินิกจิตเวชประกอบด้วยการนัดหมายให้ผู้ป่วยมาตรวจอาการเป็นระยะ เช่น ทุกเดือนหรือทุกสามเดือน แล้วแต่ความเหมาะสม ในการมาตรวจกับจิตแพทย์แต่ละครั้ง แพทย์จะประเมินสภาพอารมณ์ปัจจุบันของผู้ป่วย สอบถามถึงเหตุการณ์สำคัญหรือความเครียดที่อาจเกิดขึ้น ปรับยา (เพิ่ม หรือลดขนาดยา) ตามความจำเป็น และให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการดำเนินชีวิต ถ้าผู้ป่วยมีปัญหาหรืออุปสรรคในการรักษา เช่น ลืมทานยา มีผลข้างเคียงจากยา หรือเกิดเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ แพทย์จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้น นอกจากนี้การติดตามผลยังครอบคลุมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตอย่างสม่ำเสมอ เช่น ประเมินว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มกลับมามีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือไม่ หรือประเมินอาการร่วมอื่นๆ อย่างภาวะวิตกกังวลหรือการใช้สารเสพติดที่อาจส่งผลต่อโรคไบโพลาร์ ทีมผู้ดูแลอาจปรับแผนการรักษาให้ครอบคลุมปัจจัยเหล่านี้ด้วย เช่น แนะนำให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดเพิ่มเติมหรือส่งต่อไปยังบริการบำบัดการติดสารเสพติดหากจำเป็น

ส่วนหนึ่งของการดูแลต่อเนื่องที่สำคัญคือการให้ความรู้และสนับสนุนแก่ครอบครัวของผู้ป่วย คลินิกจิตเวชมักจัดโปรแกรมหรือให้คำแนะนำแก่ญาติใกล้ชิดเกี่ยวกับวิธีการดูแลและสังเกตอาการผู้ป่วยไบโพลาร์ที่บ้าน เช่น สอนให้ญาติทราบถึงสัญญาณเตือนเริ่มแรกก่อนผู้ป่วยจะเกิดอาการรุนแรง เพื่อจะได้ช่วยพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ทันเวลา และเน้นย้ำให้ครอบครัวสนับสนุนการรักษา เช่น ช่วยเตือนผู้ป่วยให้ทานยาอย่างเคร่งครัด ดูแลเรื่องการใช้จ่ายหรือการทำกิจกรรมเสี่ยงในช่วงที่ผู้ป่วยอารมณ์ดีผิดปกติ ตลอดจนให้กำลังใจไม่ตีตราผู้ป่วย การมีเครือข่ายสนับสนุนที่ดีทั้งจากทีมคลินิกจิตเวชและครอบครัวจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจว่าตนไม่ได้เผชิญโรคนี้เพียงลำพัง ซึ่งส่งผลดีต่อการฟื้นฟูสภาพจิตใจและลดโอกาสการกำเริบของโรคในระยะยาว

ดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์

การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ในชีวิตประจำวัน

นอกเหนือจากการรักษากับคลินิกจิตเวช การดูแลตนเองในชีวิตประจำวันก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมดุลและลดโอกาสการกลับมาของอาการ การปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวันควรทำควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโรคนี้มักมีลักษณะเป็นๆ หายๆ การรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอและการดูแลตัวเองที่ดีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของการรักษาและส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วยเอง ต่อไปนี้เป็นแนวทางการดูแลตนเองและการปรับพฤติกรรมที่ผู้ป่วยไบโพลาร์ควรใส่ใจ:

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: พยายามจัดตารางการนอนให้เป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอในแต่ละคืน การอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพออาจกระตุ้นให้อารมณ์แปรปรวนง่ายขึ้น
  • ดูแลสุขภาพทั่วไป: ออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจรบกวนการทำงานของยาหรือกระตุ้นให้อาการกำเริบได้
  • มีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด: หาวิธีคลายเครียดที่เหมาะกับตนเอง เช่น ฝึกสมาธิ โยคะ ฟังเพลง เดินเล่น หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ การลดความเครียดจะช่วยให้อารมณ์คงที่มากขึ้น
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ผู้ป่วยไบโพลาร์ควรกินยาต่อเนื่องตรงเวลาในขนาดที่จิตแพทย์กำหนด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม หากพบผลข้างเคียงหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนปรับหรือหยุดยาเอง
  • สังเกตอารมณ์และอาการของตนเอง: หมั่นจดบันทึกหรือสำรวจอารมณ์ตัวเองในแต่ละวัน หากเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณอารมณ์ผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับต่อเนื่องหลายคืน เริ่มพูดหรือคิดเร็วผิดปกติ หรือรู้สึกซึมเศร้าโดยไม่มีเหตุผล ควรรีบไปพบจิตแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาก่อนที่อาการจะรุนแรง
  • วางแผนการเงินและกิจกรรมเสี่ยง: ในช่วงที่อารมณ์ดีผิดปกติ ผู้ป่วยอาจใช้เงินเกินตัวหรือตัดสินใจทำสิ่งเสี่ยงได้ ควรวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้า และปรึกษาคนใกล้ชิดให้ช่วยดูแลเรื่องการเงินในช่วงเวลาที่อารมณ์ไม่คงที่
  • แจ้งคนใกล้ชิดให้ทราบเกี่ยวกับโรค: เปิดใจพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ที่ตนกำลังเผชิญ อธิบายถึงลักษณะอาการและขอให้พวกเขาช่วยสังเกตอารมณ์ของเราเมื่อเห็นความผิดปกติ การได้รับความเข้าใจและการสนับสนุนจากคนรอบข้างจะทำให้การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แนวทางข้างต้นเป็นการดูแลตนเองเบื้องต้นที่ผู้ป่วยไบโพลาร์ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการเข้ารับการรักษาในคลินิกจิตเวชกับการดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างต่อเนื่อง การผสมผสานระหว่างการรักษาทางการแพทย์และการปรับพฤติกรรมชีวิตประจำวันจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาสมดุลของอารมณ์ได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำของโรคไบโพลาร์ และมีสุขภาพจิตที่มั่นคงยืนยาวมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ (FAQ)

โรคไบโพลาร์รักษาหายขาดได้หรือไม่?

ตอบ: โรคไบโพลาร์เป็นโรคเรื้อรังทางอารมณ์ที่แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดถาวรเหมือนโรคติดเชื้อ แต่ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการให้สงบลงได้จนเกือบเป็นปกติด้วยการรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์ในคลินิกจิตเวช ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเมื่อทานยาสม่ำเสมอและเข้ารับการบำบัดตามแผนที่วางไว้

นอกจากนี้การปรับวิถีชีวิตที่ดีและการมีครอบครัวหรือเพื่อนคอยสนับสนุนก็มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีแนวโน้มใกล้เคียงภาวะปกติและป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ การรักษาโรคไบโพลาร์จึงเปรียบเสมือนการดูแลโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่เน้นการควบคุมให้อยู่หมัดมากกว่าการรักษาให้หายขาด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายที่อาการสงบลงเป็นเวลานานและปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างดี อาจพิจารณาลดยาหรือหยุดยาได้ตามดุลยพินิจของแพทย์เป็นกรณีไป ทั้งนี้ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาจิตแพทย์

ผู้ป่วยไบโพลาร์จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิตหรือไม่?

ตอบ: การใช้ยารักษาโรคไบโพลาร์ในระยะยาวเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมอาการ แต่ไม่จำเป็นว่าผู้ป่วยทุกรายจะต้องกินยาตลอดชีวิต ระยะเวลาที่ต้องใช้ยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วยแต่ละคน ตามแนวทางทั่วไป แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรายใหม่กินยาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี เพื่อป้องกันอาการกลับมาเป็นซ้ำ หลังจากนั้นจิตแพทย์จะประเมินสถานะของผู้ป่วยเป็นระยะ

หากผู้ป่วยอาการคงที่ดีมานานหลายปี ภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวย และมีวินัยในการดูแลตัวเองอย่างดี แพทย์อาจพิจารณาค่อยๆ ปรับลดขนาดยาและหยุดยาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การติดตามอย่างใกล้ชิดจากคลินิกจิตเวช ในบางกรณีที่โรคมีความรุนแรงหรือกลับมาเป็นซ้ำหลายครั้ง ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องใช้ยาต่อเนื่องในระยะยาวหรือแทบตลอดชีวิตเพื่อป้องกันอาการกำเริบ สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเองโดยพลการ ควรปรึกษาจิตแพทย์เสมอเกี่ยวกับแผนการใช้ยาในแต่ละช่วงของการรักษา

หากคนในครอบครัวเป็นไบโพลาร์ ควรดูแลอย่างไร?

ตอบ: การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์ในครอบครัวต้องอาศัยความเข้าใจและความอดทนอย่างมาก อันดับแรก ควรเรียนรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ให้มากที่สุดเพื่อที่จะเข้าใจว่าพฤติกรรมหรืออารมณ์ที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วยเกิดจากความเจ็บป่วย ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเอง ญาติต้องไม่ด่วนตัดสินหรือต่อว่าผู้ป่วยเมื่อเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ แต่ควรรับฟังและให้กำลังใจอย่างสงบใจ

นอกจากนี้ควรช่วยผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น เตือนเรื่องการทานยาไม่ให้ขาด หรือพาไปพบจิตแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ การสังเกตอารมณ์ของผู้ป่วยก็เป็นสิ่งสำคัญ หากญาติสังเกตเห็นสัญญาณว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับหลายคืนติด พูดเร็ว หรือซึมเศร้าไม่พูดไม่จากับใคร ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ก่อนที่อาการจะทรุดหนัก นอกจากด้านการรักษา ควรดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยให้สงบและเป็นระเบียบ หลีกเลี่ยงการให้ผู้ป่วยเผชิญความเครียดหนักๆ หรือการกระตุ้นอารมณ์รุนแรง ที่สำคัญคือให้ความรักและความเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นภาระและมีกำลังใจต่อสู้กับโรคต่อไป

คลินิกจิตเวชมีบริการอะไรในการช่วยรักษาผู้ป่วยไบโพลาร์บ้าง?

ตอบ: คลินิกจิตเวชมีบริการที่ครอบคลุมสำหรับการดูแลรักษาผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่ การตรวจประเมินและวินิจฉัย โดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์และแยกจากโรคอื่นๆ จากนั้นจะวางแผนการรักษาด้วยยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น จ่ายยาควบคุมอารมณ์หรือยาชนิดอื่นตามความจำเป็น พร้อมติดตามผลและปรับยาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว นอกจากยาแล้ว คลินิกจิตเวชส่วนใหญ่ยังมีบริการจิตบำบัดและให้คำปรึกษา โดยนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพื่อช่วยผู้ป่วยเรียนรู้วิธีจัดการความเครียด ปรับความคิดและพฤติกรรมที่เป็นปัญหา รวมถึงบริการให้ความรู้แก่ครอบครัวผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคจิตวิทยาการศึกษา เพื่อให้คนใกล้ชิดเข้าใจและสนับสนุนการรักษาได้ดียิ่งขึ้น

อีกทั้งบางแห่งอาจมี การบำบัดเป็นกลุ่ม ให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ภายใต้การดูแลของทีมสุขภาพจิต นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเสี่ยงอันตราย คลินิกจิตเวชอาจพิจารณาส่งต่อให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ชั่วคราวเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดและปรับอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปลอดภัย เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น คลินิกจะนัดหมายให้มาตรวจติดตามอาการเป็นระยะ ปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคลินิกจิตเวชมีบริการครบวงจรตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษาทางยา การบำบัดทางจิตใจ ไปจนถึงการติดตามดูแลในระยะยาว เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการพาผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติม:

Related articles