คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวลมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาโรควิตกกังวล ซึ่งเป็นภาวะทางจิตเวชที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) ถือเป็นโรคทางสุขภาพจิตที่มีความรุนแรงมากกว่าความวิตกกังวลตามปกติ ผู้ป่วยจะมีความกังวล เครียด หรือกลัวอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ จนรบกวนการทำงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่นในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้โรควิตกกังวลยังพบได้บ่อยโดยมีรายงานว่าคนไทยประมาณ 1.3 ล้านคน เคยมีประสบการณ์เป็นโรควิตกกังวลในช่วงหนึ่งของชีวิต โดยกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (18–24 ปี) เป็นวัยที่พบความวิตกกังวลมากที่สุด และผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.3 เท่า ข่าวดีคือหากผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมจากจิตแพทย์ ผู้ป่วยโรควิตกกังวลส่วนใหญ่มักมีอาการดีขึ้นและสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุและอาการของโรควิตกกังวล รวมถึงแนวทางการรักษา คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวล ตลอดจนวิธีดูแลตนเองและบริการที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและรับมือกับโรคนี้ได้อย่างถูกต้อง
สารบัญ
โรควิตกกังวลคืออะไร?
โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder) คือความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่มีลักษณะอาการวิตกกังวลรุนแรงกว่าความวิตกกังวลทั่วไปที่คนเราพบได้ในชีวิตประจำวัน ผู้ที่เป็นโรคนี้จะรู้สึกวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างมากต่อสิ่งเร้า สถานการณ์ หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเองอย่างเห็นได้ชัด เช่น บางคนอาจวิตกกังวลจนทำงานไม่ได้ มีปัญหาในการเรียน หรือไม่กล้าสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะความกลัวของตนเอง
โรควิตกกังวลสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ตัวอย่างชนิดของโรควิตกกังวลที่พบบ่อย ได้แก่ โรควิตกกังวลทั่วไป (GAD) ที่ผู้ป่วยมีความกังวลในเกือบทุกเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง, โรคแพนิค (Panic Disorder) ที่มีอาการตื่นตระหนกเฉียบพลันโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน, โรคกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder) ที่ผู้ป่วยจะกลัวการอยู่ในสถานการณ์ทางสังคม, และ โรคกลัวแบบจำเพาะ (Specific Phobias) ที่กลัวเจาะจงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ความกลัวความสูงหรือกลัวสัตว์บางชนิด หากผู้อ่านสงสัยว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายโรควิตกกังวล ควรไปพบ จิตแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมโดยเร็ว ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ได้รับการรักษามักจะมีอาการดีขึ้นและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง
สาเหตุของโรควิตกกังวล
โรควิตกกังวลเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน โดย คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวล จะพิจารณาสาเหตุหรือที่มาของความผิดปกติเหล่านี้ก่อนวางแผนการรักษา สาเหตุหลักๆ ของโรควิตกกังวล ได้แก่:
- ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง: การมีระดับสารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์และความรู้สึกไม่สมดุล (ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดเรื้อรังหรือความเครียดสูงต่อเนื่อง) สามารถกระตุ้นให้เกิดโรควิตกกังวลได้ ผู้ที่มีความเครียดสะสมหรือเผชิญกับแรงกดดันสูงเป็นเวลานาน สุขภาพจิตมักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลอย่างผิดปกติในระยะยาว
- การเผชิญเหตุการณ์รุนแรงหรือบาดแผลทางใจ: ผู้ที่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายหรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง (เช่น อุบัติเหตุร้ายแรง เหตุการณ์สูญเสีย หรือถูกทำร้าย) อาจพัฒนาเป็นความวิตกกังวลเรื้อรังได้ เหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดสูงหรือฝังใจตั้งแต่วัยเด็กก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรควิตกกังวลเช่นกัน ผู้ป่วยจะมีความกลัวภายในจิตใจตลอดเวลาว่าเหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีก จึงเกิดความระแวงและวิตกกังวลอย่างต่อเนื่อง
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: กรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรควิตกกังวล หากบุคคลในครอบครัวใกล้ชิด (เช่น พ่อแม่) มีประวัติเป็นโรควิตกกังวล สมาชิกคนอื่นๆ ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไป นั่นคือมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตนี้คล้ายกับโรคทางกายบางชนิด เช่น โรคหัวใจหรือมะเร็ง
- ปัจจัยอื่นๆ ทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม: โรควิตกกังวลอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพกายหรือการใช้สารบางอย่างด้วย ผู้ป่วยบางรายมีความวิตกกังวลที่สัมพันธ์กับโรคทางกาย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ซึ่งความเจ็บป่วยทางกายเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดอาการวิตกกังวลตามมาได้ นอกจากนี้การหยุดยาหรือสารบางชนิดอย่างกะทันหัน (เช่น การถอนยานอนหลับหรือการเลิกสุรา) ก็อาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวลชั่วคราวได้เช่นกัน ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อย่างเช่น สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดหรือการเลี้ยงดูในวัยเด็กก็สามารถหล่อหลอมให้บุคคลมีแนวโน้มเป็นโรคนี้มากขึ้น

อาการของโรควิตกกังวล
ลักษณะอาการของโรควิตกกังวลสามารถปรากฏได้ทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านร่างกาย ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสิ่งที่แพทย์ในคลินิกจิตเวชจะประเมินเพื่อวินิจฉัยภาวะวิตกกังวลของผู้ป่วย โดย โรควิตกกังวล สามารถแสดงออกผ่านความรู้สึกนึกคิดและทางร่างกายที่หลากหลาย หากมีอาการต่อไปนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานานเกิน 6 เดือน และส่งผลรบกวนชีวิตประจำวัน ควรเข้ารับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญทันที ผู้ป่วยโรควิตกกังวลมักมีอาการหลักๆ ดังนี้:
อาการทางด้านจิตใจ
ผู้ที่ป่วยเป็นโรควิตกกังวลจะมีความรู้สึกทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวล มักพบว่าผู้ป่วยมีความรู้สึกตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ต่อสถานการณ์บางอย่างอยู่บ่อยครั้ง ผู้ป่วยอาจมีความคิดวิตกกังวลวนเวียนอยู่ตลอดเวลา รู้สึกกระวนกระวายใจ หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ หรือระแวงว่าตนเองหรือคนรอบข้างจะเผชิญเหตุการณ์ไม่ดีอยู่เสมอ นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายที่เคยผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาก่อน (เช่น อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ความรุนแรง) อาจมีภาพเหตุการณ์หรือความทรงจำเลวร้ายย้อนกลับมาในความคิดตลอดเวลาจนสร้างความทุกข์ใจไม่สิ้นสุด ผู้ป่วยจะรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดจนไม่สามารถผ่อนคลายจิตใจได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตด้านต่างๆ ลดลงอย่างมาก
อาการทางด้านร่างกาย
นอกจากความผิดปกติทางด้านความคิดและความรู้สึกแล้ว โรควิตกกังวลยังส่งผลต่อร่างกายของผู้ป่วยได้ด้วย สุขภาพจิต ที่อยู่ในภาวะวิตกกังวลจะมีปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกาย เช่น รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียตลอดเวลา, นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท, มีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง, ใจสั่น หรือหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติแม้ในยามพัก, มือสั่น เหงื่อออกมากผิดปกติ, รู้สึกหายใจไม่เต็มอิ่มหรือหายใจถี่, เจ็บแน่นหน้าอก, คลื่นไส้หรือปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุทางกายที่ชัดเจน, มีอาการชาหรือเหน็บที่ปลายมือปลายเท้า เป็นต้น อาการทางกายเหล่านี้เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกายที่ตอบสนองต่อความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มสูงขึ้น หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการทางจิตใจข้างต้นและดำเนินต่อเนื่อง ควรรีบขอคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อประเมินภาวะวิตกกังวลอย่างละเอียด เพราะอาการดังกล่าวอาจรบกวนการดำเนินชีวิตและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ
(หมายเหตุ: อาการของโรควิตกกังวลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับประเภทของโรควิตกกังวลที่เป็น เช่น โรคแพนิคจะมีอาการตื่นตระหนกเฉียบพลันและรุนแรงกว่าโรควิตกกังวลทั่วไป ในขณะที่โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ผู้ป่วยจะมีความคิดวิตกกังวลเฉพาะอย่างและพยายามทำพฤติกรรมซ้ำๆ เพื่อลดความกังวล เป็นต้น การสังเกตอาการของตนเองและจดบันทึกไว้จะช่วยให้จิตแพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น)
การรักษาโรควิตกกังวล
แนวทางการรักษาโรควิตกกังวลในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูสุขภาพจิตของผู้ป่วยทั้งทางด้านจิตใจและการปรับสมดุลเคมีในสมอง โดยทั่วไป การรักษาที่คลินิกจิตเวชสำหรับโรควิตกกังวล จะประกอบด้วยวิธีหลัก 2 ด้านควบคู่กัน คือ การรักษาทางจิตใจ (จิตบำบัด) และ การรักษาด้วยยา ซึ่งจิตแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีหรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันตามความเหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละรายในบางกรณีอาจมีการเสริมด้วยการฝึกเทคนิคการจัดการความเครียดควบคู่ไปด้วย การรักษาทุกวิธีควรอยู่ภายใต้การดูแลของจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิกผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิผลสูงสุดในการบำบัดโรควิตกกังวล
การรักษาทางจิตใจ (การให้คำปรึกษาและจิตบำบัด)
จิตบำบัด เป็นวิธีการรักษาโรควิตกกังวลทางด้านจิตใจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยได้พูดคุยปรึกษาปัญหากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิก ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีเผชิญความวิตกกังวลและจัดการกับความคิดลบของตนเองอย่างสร้างสรรค์ เทคนิคการรักษาทางจิตใจที่ใช้บ่อยมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การบำบัดด้วยการพูดคุย (Psychotherapy) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึกและรับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ, และ การบำบัดโดยการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) ซึ่งเป็นรูปแบบจิตบำบัดที่มีงานวิจัยรองรับอย่างกว้างขวาง ผู้ป่วยจะได้ฝึกปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่เป็นต้นเหตุของความวิตกกังวล และปรับพฤติกรรมการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในบางกรณี จิตแพทย์อาจแนะนำ การฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด ควบคู่ไปด้วย เช่น การฝึกหายใจลึกช้า การฝึกสติและทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดอื่นๆ เพื่อช่วยลดระดับความวิตกกังวลลงและเสริมประสิทธิภาพของการรักษาวิธีหลักให้ดียิ่งขึ้น
การรักษาด้วยยา
การใช้ยาในการรักษาโรควิตกกังวล เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการในระดับปานกลางถึงรุนแรงหรือมีอาการทางกายเด่นชัด ยาที่นำมาใช้จะเป็นกลุ่มยาที่ช่วยปรับสารเคมีในสมองให้สมดุลและลดอาการวิตกกังวลของผู้ป่วยลง ยาที่จิตแพทย์อาจพิจารณาให้ มีดังนี้: ยาต้านเศร้า (Antidepressants) บางชนิดที่ช่วยปรับระดับสารเซโรโทนินในสมองให้สมดุล ส่งผลลดความวิตกกังวลในระยะยาว, ยาคลายกังวล (Anxiolytics) หรือยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (benzodiazepines) ที่ออกฤทธิ์ระงับความวิตกกังวลอย่างรวดเร็ว เหมาะใช้ในระยะสั้นเพื่อลดอาการตื่นตระหนกหรือช่วยให้นอนหลับ, และยากลุ่มอื่นๆ เช่น ยาเบตาบล็อกเกอร์ ที่ช่วยลดอาการทางกาย (เช่น ใจสั่น มือสั่น) ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด การใช้ยาทุกชนิดจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยจิตแพทย์จะเป็นผู้กำหนดประเภทของยาและขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน พร้อมทั้งนัดติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือปวดศีรษะ ผู้ป่วยจึงไม่ควรปรับขนาดยาหรือหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ยาคลายกังวล กลุ่มเบนโซไดอะซีพีนหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจเสี่ยงต่อการดื้อยาหรือติดยาได้ จึงมักใช้เฉพาะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และเมื่ออาการดีขึ้นแพทย์จะพยายามปรับลดและหยุดยาในที่สุด การรักษาด้วยยาที่ถูกวิธีจะช่วยให้อาการของโรควิตกกังวลทุเลาลงได้มากและผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลตนเองและการป้องกันโรควิตกกังวล
นอกจากการรักษากับจิตแพทย์ที่ คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวล แล้ว ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปยังสามารถดูแลสุขภาพจิตของตนเองเพื่อบรรเทาอาการวิตกกังวลและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้:
- รักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง: การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้ เช่น หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน การมีสุขอนามัยการนอนที่ดี (เช่น เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา) จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนเต็มที่ ลดความเครียดสะสมและทำให้จิตใจพร้อมรับมือกับความวิตกกังวลได้ดียิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นที่อาจทำให้อาการแย่ลง: ควรงดหรือลดเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะสารกระตุ้นเหล่านี้อาจทำให้ระบบประสาทตื่นตัวเกินไปและกระตุ้นให้อาการวิตกกังวลรุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการเสพสารเสพติดหรือการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลสารเคมีในสมองและทำให้อาการวิตกกังวลกำเริบหรือแย่ลง
- ฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด: การเรียนรู้ที่จะจัดการความเครียดจะช่วยควบคุมอาการวิตกกังวลไม่ให้ทวีความรุนแรง วิธีผ่อนคลายมีหลายรูปแบบที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน เช่น การฝึกหายใจลึกช้า เมื่อรู้สึกตื่นตระหนกให้หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ และผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทำซ้ำจนรู้สึกผ่อนคลาย, การฝึกสมาธิและสติ (Meditation & Mindfulness) ซึ่งช่วยให้จิตใจสงบอยู่กับปัจจุบัน ลดความฟุ้งซ่านและความกังวลเกี่ยวกับอนาคต, การเล่นโยคะ ยืดเส้นยืดสาย หรือทำกิจกรรมที่ตนเองรู้สึกเพลิดเพลิน เช่น ฟังเพลง วาดภาพ อ่านหนังสือ ก็ล้วนช่วยลดระดับความวิตกกังวลลงได้ทั้งสิ้น การฝึกผ่อนคลายเหล่านี้ควรกระทำเป็นประจำเพื่อสร้างความเคยชินให้จิตใจรู้จักการปล่อยวางและปรับตัวเมื่อเผชิญความเครียด
- สร้างเครือข่ายการสนับสนุนทางใจ: กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยโรควิตกกังวล คนใกล้ชิดและครอบครัวควรให้การสนับสนุนอย่างเข้าใจ หมั่นสอบถามสารทุกข์สุขดิบ รับฟังปัญหา และอยู่เคียงข้างผู้ที่กำลังเผชิญความวิตกกังวล การที่ผู้ป่วยได้พูดคุยกับคนที่ไว้ใจและได้รับความเข้าใจเห็นใจ จะช่วยให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวหรือหวาดกลัวลดลง สุขภาพจิตโดยรวมของผู้ป่วยก็จะค่อยๆ ดีขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยเองก็ควรเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือ ไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว การเข้ากลุ่มสนับสนุนผู้มีภาวะคล้ายกัน (support group) ก็อาจเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการรับมือกับอาการวิตกกังวลได้
- พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่นๆ: หากเริ่มมีอาการวิตกกังวลที่รบกวนการใช้ชีวิต หรือสงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรควิตกกังวล ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อประเมินอาการโดยละเอียด การได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยป้องกันไม่ให้อาการลุกลามรุนแรงขึ้น โรควิตกกังวลเป็นภาวะที่รักษาได้และสามารถควบคุมได้ การเข้ารับการรักษาที่คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวลโดยเร็วจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดโอกาสการเกิดผลกระทบระยะยาวต่อชีวิตของผู้ป่วยเอง อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะสุขภาพจิตที่ดีจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
บริการของคลินิกจิตเวชในการรักษาโรควิตกกังวล
คลินิกจิตเวช มีบทบาทสำคัญในการให้บริการดูแลรักษาผู้ที่มีปัญหาความวิตกกังวลและปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ โดยภายในคลินิกจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช และนักจิตวิทยาคลินิก ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวและปลอดภัย เมื่อผู้ป่วยมาถึงคลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวล แพทย์จะทำการสอบถามประวัติอาการอย่างละเอียดและประเมินสภาพจิตใจของผู้ป่วย รวมถึงตรวจร่างกายเบื้องต้นหรือแบบประเมินทางจิตเวชหากจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุจากโรคทางกายอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน (เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษหรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจแสดงอาการใจสั่นและวิตกกังวลคล้ายกัน) หลังจากวินิจฉัยยืนยันว่าเป็นโรควิตกกังวล แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงภาวะที่เป็นอยู่ พร้อมให้ความมั่นใจว่าปัญหานี้สามารถรักษาได้และวางแผนแนวทางการรักษาร่วมกับผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
บริการหลักที่มีในคลินิกจิตเวชสำหรับผู้ป่วยโรควิตกกังวล ได้แก่ การให้คำปรึกษาและจิตบำบัดรายบุคคล ซึ่งผู้ป่วยจะได้สนทนากับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อสำรวจความคิดความรู้สึกของตนเอง เรียนรู้วิธีรับมือกับความวิตกกังวล และเสริมสร้างทักษะในการปรับตัว, การรักษาด้วยยา ซึ่งจิตแพทย์จะสั่งจ่ายยาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น ยาคลายกังวลหรือยาอื่นๆ พร้อมทั้งติดตามผลการใช้ยาอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับยาให้เหมาะสมและลดผลข้างเคียง, และ การติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง โดยทางคลินิกจะมีการนัดหมายผู้ป่วยมาตรวจติดตามเป็นระยะ เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าในการรักษาและรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ผู้ป่วยจะได้รับการปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสมในแต่ละช่วง นอกจากนี้บางคลินิกจิตเวชอาจมีบริการเสริมอื่นๆ เช่น การบำบัดแบบกลุ่ม สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาคล้ายกันให้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์, การจัดเวิร์กช็อปฝึกการผ่อนคลายความเครียด, หรือการให้คำปรึกษากับครอบครัวผู้ป่วยเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจและการสนับสนุนที่บ้าน ทั้งนี้เป้าหมายของบริการในคลินิกจิตเวชคือการมอบการดูแลแบบองค์รวมให้กับผู้ป่วยโรควิตกกังวล ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสุขภาพจิตของตนและกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง
สรุป
โรควิตกกังวลเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน แต่ก็เป็นโรคที่สามารถรักษาให้ทุเลาลงหรือควบคุมได้ด้วยวิธีการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี ทั้งจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวลและการดูแลตนเองของผู้ป่วย ความวิตกกังวลที่รุนแรงไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามหรืออดทนไปวันๆ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษา อาการอาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตและนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ได้ เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือการพึ่งสารเสพติดเพื่อระงับความกังวล อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ด้านสุขภาพจิตในปัจจุบัน ทำให้มีทั้งแนวทางการบำบัดและยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรควิตกกังวล ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่เมื่อได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ดังนั้นหากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเข้าข่ายโรควิตกกังวล อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ การเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วและป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนยากต่อการแก้ไข สุขภาพจิตที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดี และการดูแลรักษาโรควิตกกังวลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณกลับมามีความสุขกับการใช้ชีวิตได้อีกครั้ง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรควิตกกังวลและการรักษา
โรควิตกกังวลรักษาหายขาดได้หรือไม่?
โดยทั่วไปโรควิตกกังวลถือเป็นภาวะเรื้อรังที่อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่การเข้ารับการรักษาที่คลินิกจิตเวชกับการรักษาโรควิตกกังวลอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถควบคุมอาการได้จนใช้ชีวิตได้ตามปกติ แม้โรควิตกกังวลอาจไม่หายขาด 100% ในทุกคน แต่ผู้ป่วยสามารถมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างมากและกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขใกล้เคียงคนทั่วไป หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงเรียนรู้วิธีจัดการความเครียดและความวิตกกังวลด้วยตนเองร่วมด้วย
การรักษาโรควิตกกังวลใช้เวลานานเท่าใด?
ระยะเวลาในการรักษาโรควิตกกังวลจะแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ การตอบสนองต่อการจิตบำบัด และการใช้ยาของผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยบางคนที่มีอาการไม่รุนแรงอาจรู้สึกดีขึ้นอย่างชัดเจนภายในไม่กี่เดือนหลังรับการรักษา ในขณะที่บางรายที่อาการหนักหรือมีปัจจัยซับซ้อนร่วมด้วยอาจต้องใช้เวลารักษาหลายเดือนจนถึงเป็นปี การนัดหมายติดตามผลอย่างสม่ำเสมอกับจิตแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อปรับแนวทางการรักษาตามความคืบหน้าของผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีวินัยในการไปพบแพทย์และทำตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาตามกำหนดหรือเข้าร่วมการทำจิตบำบัดทุกสัปดาห์ ก็จะช่วยให้สามารถประเมินผลและเห็นพัฒนาการได้เร็วขึ้น เมื่ออาการดีขึ้นแล้วแพทย์อาจปรับลดความถี่การนัดหมายลงตามความเหมาะสม แต่ผู้ป่วยควรสังเกตตนเองและหากมีอาการกลับมาอีกก็สามารถกลับมาพบแพทย์ได้ทันที
ยาที่ใช้รักษาโรควิตกกังวลมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
ยาคลายกังวลและยาชนิดอื่นที่ใช้รักษาโรควิตกกังวลอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ อาการง่วงนอน มึนงง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดหัว หรือรู้สึกอ่อนเพลีย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วงแรกที่เริ่มยาและมักจะบรรเทาลงเมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้ว จิตแพทย์จะเลือกสรรประเภทของยาและปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนเพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด หากผู้ป่วยรู้สึกว่าผลข้างเคียงจากยารบกวนการใช้ชีวิต ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีเพื่อพิจารณาปรับแผนการรักษา นอกจากนี้ ยาบางประเภทอย่างยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (ยาแก้เครียดลดวิตกกังวลชนิดออกฤทธิ์เร็ว) อาจทำให้มีอาการง่วงมากและเสี่ยงต่อการพึ่งพิงยาเมื่อใช้ติดต่อกันนาน แพทย์จึงมักจ่ายยากลุ่มนี้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แล้วเปลี่ยนไปใช้วิธีรักษาอื่นแทนในระยะยาวเพื่อความปลอดภัย
หากไม่อยากใช้ยารักษาโรควิตกกังวล ควรทำอย่างไร?
การรักษาโรควิตกกังวลไม่ได้มีเพียงการใช้ยาเท่านั้น ผู้ป่วยที่ไม่สะดวกใจจะใช้ยาสามารถเลือกแนวทางการรักษาอื่นภายใต้การดูแลของจิตแพทย์ได้ เช่น การทำจิตบำบัดประเภทต่างๆ ซึ่งในหลายกรณีสามารถบรรเทาอาการวิตกกังวลได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยา ตัวอย่างเช่น การบำบัดแบบ CBT ที่ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การปรับความคิดและพฤติกรรมเพื่อลดความกังวล, การเข้าร่วมกลุ่มบำบัดหรือกลุ่มสนับสนุน (Support Group) กับผู้ที่ประสบปัญหาคล้ายกันเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีรับมือ, หรือการฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียดอย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกหายใจและทำสมาธิเป็นประจำ วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยจัดการความวิตกกังวลได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยา อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่อาการรุนแรงมาก การใช้ยาอาจจำเป็นในช่วงแรกเพื่อให้อาการทุเลาลงแล้วค่อยใช้การบำบัดอื่นควบคู่หรือแทนที่ในระยะยาว ผู้ป่วยควรปรึกษากับจิตแพทย์อย่างเปิดเผยถึงความกังวลเรื่องการใช้ยา แพทย์จะช่วยปรับแผนการรักษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วยมากที่สุด โดยยังคงเป้าหมายคือให้อาการวิตกกังวลดีขึ้นจนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
อ่านเพิ่มเติม: