อาจารย์ ชนิภา บุญสุข ทำงานด้านสุขภาพจิตด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพในการฟื้นตัวเมื่อได้รับเครื่องมือที่เหมาะสมและพื้นที่ปลอดภัยในการเล่าเรื่องราวของตนเอง หน้าที่หลักของเธอคือประเมิน ทำความเข้าใจ และออกแบบการบำบัดที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของผู้รับบริการในบริบทจริงของงาน ครอบครัว และความสัมพันธ์
สารบัญ
แนวทางการทำงานเน้นหลักฐานเชิงประจักษ์และการวัดผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าที่ชัดเจนระหว่างทาง การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาช่วยให้ผู้รับบริการตัดสินใจร่วมกันได้อย่างมั่นใจ และรู้สึกเป็นเจ้าของกระบวนการเปลี่ยนแปลงของตนเอง
ประวัติการศึกษา
รากฐานทางวิชาการของอาจารย์วางอยู่บนสองมิติ คือความรู้ด้านจิตวิทยาและความเข้าใจการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผสานกันอย่างลงตัวในงานคลินิก
- 2009–2013 ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกจิตวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเรียนรู้ด้านทฤษฎีพฤติกรรมมนุษย์และทักษะการวิจัยทำให้เธอมีกรอบคิดที่แข็งแรงสำหรับงานคลินิก - 2015–2019 ปริญญาศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ความรู้ด้านการสื่อสารช่วยให้เธอถ่ายทอดประเด็นซับซ้อนให้เข้าใจง่าย และประสานงานกับครอบครัว โรงเรียน และทีมสหวิชาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งสองด้านทำให้การอธิบายอาการและแนวทางบำบัดกระชับ ชัดเจน และนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

ประสบการณ์ทำงาน
ประสบการณ์ในหน่วยงานเฉพาะทางทำให้อาจารย์เข้าใจบริบทของผู้รับบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้ที่อยู่ในระบบโรงพยาบาลไปจนถึงการดูแลต่อเนื่องในชุมชน
- 2015–2017 โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์
ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพื่อประเมินและบำบัดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบ - 2018–ปัจจุบัน สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
รับผิดชอบงานประเมิน จิตบำบัดรายบุคคล กลุ่มบำบัด และการพัฒนาระบบบริการที่เน้นคุณภาพและความเป็นมิตรกับผู้รับบริการ
บริบทการทำงานที่เข้มข้นช่วยให้เธอมองเห็นทั้งภาพใหญ่ของระบบบริการและรายละเอียดเล็กๆ ในชีวิตจริงของแต่ละคน ซึ่งมีผลต่อการออกแบบแผนช่วยเหลืออย่างมาก
ความเชี่ยวชาญและแนวทางบำบัด
อาจารย์คัดเลือกเทคนิคบำบัดให้เหมาะกับเป้าหมาย ระดับความพร้อม และทรัพยากรของผู้รับบริการ โดยสามารถผสานหลายวิธีเข้าด้วยกันอย่างยืดหยุ่น
- การทดสอบทางจิตวิทยาคลินิก เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบความคิด อารมณ์ บุคลิกภาพ และศักยภาพในการจัดการปัญหา
- จิตบำบัดแบบประคับประคอง ช่วยประคับประคองอารมณ์เฉียบพลัน เสริมพลังใจ และวางกิจวัตรพื้นฐานที่ทำได้จริง
- Cognitive Behavioral Therapy หรือ CBT เน้นระบุความคิดอัตโนมัติและพฤติกรรมที่คงปัญหา พร้อมทดลองกลยุทธ์ใหม่ที่สร้างผลเชิงบวก
- Acceptance and Commitment Therapy หรือ ACT ชวนสังเกตประสบการณ์ภายในอย่างไม่ตัดสิน ตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย และลงมือทำตามค่านิยม
- Satir Transformation Systemic Therapy ใช้กรอบความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อปรับรูปแบบการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ และข้อตกลงใหม่ที่นำไปใช้ได้จริง
- Mindfulness Based Cognitive Therapy หรือ MBCT ผสานสติและเครื่องมือจาก CBT เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำและเพิ่มความยืดหยุ่นทางใจ
จุดเด่นคือการวัดผลเป็นระยะ ทั้งจากแบบประเมินเชิงตัวเลขและข้อสะท้อนจากชีวิตจริง เพื่อปรับจูนให้แผนการบำบัดสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ปรัชญาการทำงานที่ยึดถือ
หัวใจของงานคือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความต่างเฉพาะบุคคล อาจารย์ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจร่วมกัน การตั้งข้อตกลงที่ชัดเจน และความปลอดภัยทางอารมณ์ในทุกขั้นตอน แนวทางนี้ช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกไว้ใจมากพอที่จะสำรวจเรื่องยาก และสามารถทดลองพฤติกรรมใหม่ได้โดยไม่กลัวผิดพลาด
เธอเน้นทักษะที่นำไปใช้ได้จริงทันที เช่น การหายใจผ่อนคลาย การจัดการความคิดเชิงลบ และการวางตารางกิจวัตรที่สอดคล้องกับพลังงานและงานประจำวัน จึงเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ภายในเวลาเหมาะสม
กลุ่มปัญหาที่ดูแลเป็นประจำ
ลักษณะปัญหาที่มาปรึกษามีตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงซับซ้อน อาจารย์จึงเลือกวิธีการที่เหมาะกับช่วงชีวิตและบริบทของแต่ละคน
- ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และความเครียดจากงานหรือการเรียน
- ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว คู่รัก หรือทีมงาน
- พฤติกรรมหลีกเลี่ยง การผัดวันประกันพรุ่ง และความยากในการโฟกัส
- ปัญหาการนอนและสมดุลชีวิตที่กระทบคุณภาพการทำงาน
- การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น งานใหม่ การเป็นพ่อแม่ หรือการย้ายถิ่นฐาน
ในเคสที่เกี่ยวข้องกับวัยรุ่นหรือครอบครัว จะมีการทำงานร่วมกับผู้ปกครองและโรงเรียนเพื่อให้แผนช่วยเหลือสอดคล้องกัน โดยรักษาหลักความลับและการขอความยินยอมอย่างเหมาะสม
กระบวนการรับบริการอย่างเป็นระบบ
การเดินทางของผู้รับบริการถูกออกแบบให้ชัดเจน วัดผลได้ และยืดหยุ่นกับสถานการณ์จริง
- นัดหมายและคัดกรองเบื้องต้น
ทีมงานสอบถามอาการ ระยะเวลา ปัจจัยกระตุ้น และสิ่งที่ช่วยให้อาการดีขึ้น เพื่อจัดเวลาพบที่เหมาะสมและแนะนำเอกสารที่ควรเตรียม - สัมภาษณ์และประเมินทางจิตวิทยา
อาจารย์เก็บประวัติแบบองค์รวม ทั้งชีวภาพ จิตใจ และสังคม อาจมีแบบทดสอบมาตรฐานเพื่อนำมาประกอบข้อค้นพบ - สรุปผลและวางแผนบำบัดร่วมกัน
กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ ระบุความถี่ในการพบ ตัวชี้วัดความก้าวหน้า และงานบ้านที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน - ดำเนินการบำบัดและติดตามผล
ทบทวนความคืบหน้าทุกระยะ ปรับเทคนิคตามอาการจริง และผสานงานกับสหวิชาชีพเมื่อจำเป็นเพื่อให้การดูแลครอบคลุม
สิ่งที่ผู้รับบริการมักได้ฝึก
ทักษะต่อไปนี้ถูกปรับให้เข้ากับเป้าหมายส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
- การจดบันทึกความคิดและหลักฐาน เพื่อจัดการความคิดอัตโนมัติ
- เทคนิคการหายใจช้า ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสังเกตสัญญาณร่างกาย
- การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์กับคนใกล้ชิดเพื่อลดความขัดแย้ง
- การวางแผนกิจกรรมที่เติมพลังและมีความหมายในแต่ละสัปดาห์
- การฝึกสติช่วงสั้นๆ ระหว่างวันเพื่อเพิ่มความจดจ่อและฟื้นตัวจากความเครียด
เหตุผลที่แนว CBT และ ACT ได้ผลดี
CBT ช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมอย่างชัดเจน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการโครงสร้างและการบ้านที่วัดผลได้ ส่วน ACT ช่วยให้ยอมรับประสบการณ์ภายในและขยับเข้าใกล้ชีวิตที่มีความหมาย แม้อย่างยังมีความรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง การผสานสองแนวทำให้ได้ทั้งทักษะจัดการอาการและความยืดหยุ่นทางใจที่ลึกขึ้น
การสื่อสารในครอบครัวด้วยแนวทาง Satir
เมื่อปัญหาโยงกับระบบครอบครัว อาจารย์ใช้กรอบซาเทียร์เพื่อสำรวจรูปแบบการสื่อสารและบทบาทของแต่ละคน การซ้อมบทสนทนาและตั้งข้อตกลงใหม่ช่วยลดความตึงเครียด เปิดพื้นที่ให้ทุกคนเข้าใจความต้องการของกันและกัน และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเยียวยา
บทบาทของสติใน MBCT
การฝึกสติช่วยให้สังเกตความคิดและอารมณ์โดยไม่ด่วนตัดสิน ลดการหมกมุ่นกับความคิดลบ และเพิ่มทางเลือกในการตอบสนองต่อสถานการณ์ยาก MBCT จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของอาการและเพิ่มความมั่นคงในชีวิตประจำวัน
การทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ
เพื่อให้การดูแลต่อเนื่องและรอบด้าน อาจารย์ทำงานร่วมกับจิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก นักกิจกรรมบำบัด นักสังคมสงเคราะห์ และพยาบาล เมื่อได้รับความยินยอมอาจประสานโรงเรียนหรือที่ทำงานเพื่อให้การสนับสนุนในชีวิตจริงสอดคล้องกับแผนบำบัด
จรรยาบรรณและความเป็นส่วนตัว
ข้อมูลของผู้รับบริการได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานวิชาชีพ ทุกขั้นตอนมีการอธิบายอย่างโปร่งใสและขอความยินยอมก่อนดำเนินการ การรักษาความลับและความเคารพในขอบเขตส่วนตัวคือหลักการสำคัญที่ยึดถือเสมอ
คำถามที่พบบ่อย
การบำบัดเหมาะกับใครบ้าง?
เหมาะกับผู้ที่รู้สึกทุกข์ใจจากอารมณ์ พฤติกรรม หรือความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้ปกครองที่ต้องการทักษะสนับสนุนบุตรหลาน
ต้องพบกี่ครั้งจึงเห็นผล?
ขึ้นกับความซับซ้อนของประเด็นและความสม่ำเสมอในการฝึกทักษะ หลายเคสเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 4–6 สัปดาห์เมื่อมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง
หากไม่พร้อมพูดเรื่องยากควรทำอย่างไร?
สามารถบอกขอบเขตที่ต้องการได้เสมอ กระบวนการจะค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากประเด็นที่ปลอดภัย และค่อยๆ ขยับสู่เรื่องลึกเมื่อรู้สึกพร้อม
จำเป็นต้องมีแบบทดสอบทางจิตวิทยาหรือไม่?
ไม่จำเป็นในทุกเคส แต่มีประโยชน์เมื่อข้อมูลซับซ้อนหรือจำเป็นต้องวัดผลอย่างเป็นระบบ การเลือกใช้ขึ้นกับเป้าหมายและวัยของผู้รับบริการ
วิธีเตรียมตัวก่อนมาพบ
การเตรียมตัวเล็กน้อยช่วยให้การพบมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- จดเหตุการณ์สำคัญ อารมณ์ที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ช่วยให้อาการดีขึ้น
- เตรียมรายการยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรที่ใช้อยู่
- ตั้งเป้าหมายย่อย 1–2 ข้อที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในเดือนแรก
- หากเกี่ยวข้องกับครอบครัว ชวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาร่วมในช่วงที่เหมาะสม
วิธีนัดหมายและการเริ่มต้น
ผู้ที่ต้องการเริ่มดูแลใจสามารถติดต่อผ่านช่องทางของคลินิก ทีมงานจะช่วยแนะนำขั้นตอนการนัดหมาย เอกสารประกอบ และช่วงเวลาที่เหมาะสม การเริ่มต้นพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญคือก้าวแรกที่มีคุณค่าต่อการกลับมามีชีวิตที่สมดุล
สรุป
อาจารย์ ชนิภา บุญสุข คือผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาที่ผสานความรู้ด้านจิตวิทยาและการสื่อสารเข้ากับงานบำบัดอย่างเป็นระบบ เธอเชี่ยวชาญการประเมินทางจิตวิทยาคลินิก CBT ACT Satir และ MBCT พร้อมประสบการณ์ทั้งในโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์และสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา แนวทางทำงานให้ความสำคัญกับการตัดสินใจร่วมกัน ความปลอดภัยทางอารมณ์ และทักษะที่นำไปใช้ได้จริง หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาที่เข้าใจชีวิตจริงและเดินไปกับคุณอย่างเป็นขั้นตอน การนัดหมายเพื่อพูดคุยคือจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมที่สุด