อาจารย์ ทัศนีย์ กุลจนะพงศ์พันธ์ จิตแพทย์

อาจารย์ ทัศนีย์ กุลจนะพงศ์พันธ์ จิตแพทย์

การดูแลใจที่ดีเริ่มจากการรับฟังด้วยความเคารพและตั้งอยู่บนข้อมูลจริง แพทย์ผู้ดูแลจึงต้องผสานวิชาการกับความเข้าใจมนุษย์อย่างสมดุล เพื่อออกแบบการรักษาที่สอดคล้องกับชีวิตจริงของแต่ละคน พื้นที่ปลอดภัยและเป้าหมายที่ชัดเจน คือสองเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน

อาจารย์ ทัศนีย์ กุลจนะพงศ์พันธ์ ทำงานภายใต้หลักการดังกล่าว โดยเฉพาะการประเมินแบบองค์รวมที่พิจารณาทั้งชีวภาพ จิตใจ และสังคมร่วมกัน การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจโรคและตัวเลือกการรักษา จึงสามารถตัดสินใจร่วมกันอย่างมั่นใจ

ประวัติการศึกษา

รากฐานทางวิชาการที่แข็งแรง ทำให้แนวทางรักษาเป็นระบบและยึดหลักฐานเชิงประจักษ์ แพทย์หญิงท่านนี้เริ่มเส้นทางจากคณะแพทยศาสตร์ชั้นนำ ก่อนต่อยอดสู่สาขาจิตเวชอย่างจริงจัง

  • 1993–1998 แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    ช่วงเวลานี้หล่อหลอมความสนใจต่อสมอง พฤติกรรม และความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสายอาชีพในอนาคต
  • 1999–2001 วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวชศาสตร์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
    การฝึกอบรมเฉพาะทางทำให้คุ้นเคยกับการวินิจฉัย การใช้ยาอย่างสมเหตุผล และจิตบำบัดที่อิงหลักฐาน
  • 2018 อนุสาขาจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
    การต่อยอดในอนุสาขานี้ช่วยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสมอง การทำงานของร่างกายในวัยสูงอายุ และบริบทครอบครัวที่มีผลต่ออาการ

การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทำให้แนวทางการรักษาทันสมัย และแปลความรู้เชิงทฤษฎีให้ใช้ได้จริงกับคนไทยหลากหลายบริบท

อาจารย์ทัศนีย์ กุลจนะพงศ์พันธ์

ประสบการณ์ทำงาน

ประสบการณ์ภาคสนามที่ยาวนานคือรากฐานของความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วย ตั้งแต่วิกฤตเฉียบพลันจนถึงการติดตามคงสภาพระยะยาว

  • 2002–ปัจจุบัน สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
    ทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพอย่างใกล้ชิด ทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ และนักกิจกรรมบำบัด เพื่อให้งานรักษามีความต่อเนื่องและรอบด้าน

บริบทงานที่เข้มข้นทำให้เข้าใจทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างและเรื่องเล็กๆ ในชีวิตจริงของแต่ละคน จึงออกแบบแผนช่วยเหลือที่พอดีกับทรัพยากรและเป้าหมายของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

ความเชี่ยวชาญทางคลินิก

จุดเด่นของแพทย์ท่านนี้คือการผสานวิธีรักษาที่มีหลักฐานรองรับกับความยืดหยุ่นตามสถานการณ์จริง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้

  • จิตเวชทั่วไป
    ครอบคลุมภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ เครียดเรื้อรัง ภาวะหมดไฟ รวมถึงปัญหาความสัมพันธ์ที่กระทบการทำงานและคุณภาพชีวิต
  • จิตเวชผู้สูงอายุ
    เน้นความปลอดภัย การประเมินความจำ พฤติกรรม และโรคร่วม พร้อมวางแผนร่วมกับผู้ดูแลเพื่อลดภาระและป้องกันการกำเริบ
  • จิตบำบัดแบบประคับประคอง (Supportive Psychotherapy)
    เหมาะกับช่วงที่ความทุกข์สูงหรือมีเหตุการณ์กดดันหลายด้านคราวเดียว มุ่งพยุงอารมณ์ เสริมพลังจุดแข็ง และวางกิจวัตรที่ทำได้จริง

หลักคิดการรักษา

ปรัชญาการทำงานยึดหลัก “ตัดสินใจร่วมกันบนข้อมูลจริง” แพทย์จะอธิบายโรค ผลข้างเคียงของยา และทางเลือกจิตบำบัดอย่างโปร่งใส เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจบทบาทของตนเองและร่วมกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้

อีกหนึ่งคุณค่าที่ถือมั่นคือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรักษาความลับและขอบเขตส่วนตัวเป็นกติกาสำคัญของทุกขั้นตอน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยพอที่จะพูดคุยเรื่องยากและทดลองวิธีใหม่

กลุ่มอาการที่ดูแลบ่อย

ผู้ที่มาปรึกษามีพื้นเพและเป้าหมายแตกต่างกัน แต่ทุกคนต้องการเห็นความคืบหน้าที่วัดผลได้ แพทย์จึงวางแผนให้สอดคล้องกับวัย บริบท และทรัพยากรจริง

  • ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลที่รบกวนการทำงานและความสัมพันธ์
  • ปัญหาการนอน เช่น หลับยาก หลับตื้น ตื่นกลางดึก
  • ความเครียดจากงานและภาวะหมดไฟ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านบทบาท
  • ผลกระทบหลังเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจที่ยังค้างคา
  • ประเด็นด้านความจำและพฤติกรรมในผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับสมองและโรคร่วม

รายการนี้เป็นเพียงตัวอย่างเริ่มต้น การประเมินรายบุคคลยังคงสำคัญก่อนกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสม

กระบวนการรับบริการเป็นขั้นตอน

ความชัดเจนทำให้การเดินทางราบรื่นและคาดหวังตรงกัน ทุกเคสจะผ่านขั้นตอนหลักที่ยืดหยุ่นตามอาการจริง

  1. นัดหมายและคัดกรองเบื้องต้น
    ทีมงานสอบถามอาการ ระยะเวลา ปัจจัยกระตุ้น ยาที่ใช้อยู่ และเป้าหมายเบื้องต้น เพื่อจัดเวลาพบแพทย์และเตรียมเอกสารต่างๆ
  2. ซักประวัติและประเมินทางจิตเวช
    เก็บข้อมูลด้านชีวภาพ จิตใจ และสังคมอย่างรอบด้าน หากจำเป็นอาจใช้แบบประเมินมาตรฐานหรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  3. สรุปแผนการรักษาร่วมกัน
    กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เลือกแนวทางระหว่างการใช้ยา จิตบำบัด หรือการผสานทั้งสอง พร้อมตัวชี้วัดความก้าวหน้า
  4. ติดตามผลและปรับแผน
    ทบทวนผลตามระยะ ปรับยาและเทคนิคบำบัดตามอาการจริง พร้อมแนะนำการนอน โภชนาการ การเคลื่อนไหว และการจัดการความเครียด

สิ่งที่ผู้ป่วยมักได้ฝึกระหว่างการรักษา

การดูแลที่ดีไม่จบในห้องตรวจ แต่ต้องใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แพทย์จึงคัดเลือกทักษะที่เหมาะกับเป้าหมายและทรัพยากรของแต่ละคน

  • การบันทึกอารมณ์ เหตุการณ์ และความคิดอัตโนมัติ เพื่อมองเห็นแบบแผน
  • เทคนิคการหายใจช้าและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อจัดการอาการเฉียบพลัน
  • การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์กับคนใกล้ชิดเพื่อลดความตึงเครียด
  • การตั้งเป้าหมายย่อยที่ทำได้จริง พร้อมทบทวนผลทุกสัปดาห์
  • การจัดตารางการนอนและกิจกรรมเติมพลังให้คงสภาพสมดุล

การดูแลผู้สูงอายุอย่างเข้าใจบริบท

การรักษาคนวัยสูงอายุจำเป็นต้องคำนึงถึงโรคร่วม ยา และความปลอดภัยในบ้าน แผนดูแลจึงวางร่วมกับผู้ดูแล โดยเน้นลดความสับสน ป้องกันการล้ม และสนับสนุนกิจวัตรที่ช่วยคงความเป็นอิสระ การสื่อสารกับครอบครัวอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจบทบาทของตนเองและลดภาระดูแล

ประเด็นที่มักพิจารณาในผู้สูงอายุ

  • การคัดกรองภาวะสมองเสื่อมและภาวะซึมเศร้าในวัยสูงอายุ
  • การทบทวนรายการยาและผลกระทบต่อความจำและการทรงตัว
  • การออกแบบกิจกรรมที่เหมาะกับพลังงานและความปลอดภัย
  • การวางแผนเครือข่ายสนับสนุนในครอบครัวและชุมชน

Supportive Psychotherapy เมื่อใจต้องการที่พึ่ง

จิตบำบัดแบบประคับประคองเหมาะกับช่วงที่ความทุกข์สูงหรือมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน บทบาทของแพทย์คือช่วยประคับประคองอารมณ์ เสริมพลังจุดแข็ง และจัดกิจวัตรพื้นฐานที่ทำได้จริง เมื่อตั้งหลักได้แล้วจึงค่อยต่อยอดสู่การจัดการรากปัญหาหรือบำบัดแนวอื่นตามความเหมาะสม

จุดเด่นของแนวทางนี้

  • โครงสร้างยืดหยุ่น ใช้ได้กับช่วงวิกฤต
  • สอดรับกับการใช้ยาและการปรับพฤติกรรม
  • เน้นการเสริมแรงจุดแข็งและระบบสนับสนุนรอบตัว
  • วัดผลได้จากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและการกลับสู่กิจวัตร

การใช้ยาอย่างสมเหตุผลและปลอดภัย

การใช้ยาถูกพิจารณาเมื่อมีข้อบ่งชี้ชัดเจน โดยยึดหลักขนาดต่ำสุดที่ได้ผลและติดตามผลข้างเคียงอย่างสม่ำเสมอ แพทย์จะอธิบายข้อดี ข้อจำกัด และแผนการปรับยาอย่างโปร่งใส เพื่อให้การตัดสินใจเกิดขึ้นบนข้อมูลจริง เมื่ออาการดีขึ้นจะค่อยๆ ลดความเข้มข้นของยาอย่างปลอดภัย

การทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ

หลายกรณีต้องอาศัยทรัพยากรจากหลายวิชาชีพร่วมกัน ตั้งแต่จิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก นักกิจกรรมบำบัด นักสังคมสงเคราะห์ และพยาบาล เมื่อได้รับความยินยอม อาจประสานสถานศึกษา ที่ทำงาน หรือหน่วยบริการในชุมชน เพื่อให้การสนับสนุนภายนอกสอดคล้องกับแผนรักษา การเดินไปในทิศทางเดียวกันของทุกฝ่ายทำให้ผลลัพธ์มั่นคงและต่อเนื่องกว่า

คำถามที่พบบ่อย

ต้องพบแพทย์กี่ครั้งจึงเห็นผล?

จำนวนครั้งขึ้นกับความซับซ้อนของอาการและความสม่ำเสมอในการติดตาม หลายเคสเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 4–6 สัปดาห์เมื่อทำงานตามแผนอย่างต่อเนื่อง

การใช้ยาจำเป็นเสมอหรือไม่?

ไม่จำเป็นเสมอไป เคสบางส่วนตอบสนองต่อจิตบำบัดและการปรับวิถีชีวิตได้ดี ส่วนกรณีที่อาการรุนแรงหรือเรื้อรังอาจต้องผสานการใช้ยาอย่างเหมาะสม

หากยังไม่พร้อมพูดเรื่องยากควรทำอย่างไร?

สามารถกำหนดขอบเขตการเล่าได้เสมอ กระบวนการรักษาจะค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากประเด็นที่ปลอดภัยและค่อยๆ สำรวจเรื่องลึกเมื่อรู้สึกไว้วางใจ

แบบประเมินทางจิตวิทยาจำเป็นหรือไม่?

ไม่จำเป็นในทุกเคส แต่มีประโยชน์เมื่อข้อมูลซับซ้อนหรือจำเป็นต้องวัดผลอย่างเป็นระบบ การเลือกใช้จะพิจารณาตามเป้าหมายและบริบทของแต่ละบุคคล

วิธีเตรียมตัวก่อนมาพบแพทย์

การเตรียมข้อมูลช่วยให้การประเมินแม่นยำและประหยัดเวลา

  • จดอาการสำคัญ ระยะเวลา และสิ่งที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือลดลง
  • เตรียมรายการยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรที่ใช้อยู่
  • ตั้งเป้าหมายสั้นๆ สองถึงสามข้อสำหรับเดือนแรก
  • หากเกี่ยวข้องกับครอบครัว ชวนผู้ดูแลหรือคู่ชีวิตมาร่วมในช่วงที่เหมาะสม

บทบาทของการให้ความรู้และการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

ความเข้าใจกลไกของอาการช่วยลดความกังวลและเพิ่มความสามารถในการดูแลตนเอง แพทย์จึงให้สื่อความรู้สั้น กระชับ และนำไปใช้ได้จริง ทั้งสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว แผนคงสภาพจะถูกวางตั้งแต่กลางคอร์ส เพื่อป้องกันการกำเริบและสร้างความมั่นใจในการรับมือกับเหตุการณ์กระตุ้นในอนาคต

สรุปและการเริ่มต้นนัดหมาย

อาจารย์ ทัศนีย์ กุลจนะพงศ์พันธ์ คือจิตแพทย์ที่ผสานความรู้ทางการแพทย์กับความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง จุดแข็งของการดูแลอยู่ที่จิตเวชทั่วไป จิตเวชผู้สูงอายุ และจิตบำบัดแบบประคับประคอง ซึ่งปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละกรณี หากคุณกำลังมองหาการดูแลที่โปร่งใส วัดผลได้ และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การนัดหมายเพื่อปรึกษาคือก้าวแรกที่ดีสู่ชีวิตที่กลับมาสมดุลและมั่นคงมากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม:

Related articles