อาจารย์ พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ จิตแพทย์

อาจารย์ พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ

อาจารย์ พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ ทำงานดูแลผู้ป่วยด้วยความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้งและวิธีคิดแบบองค์รวมที่มองทั้งชีวภาพ จิตใจ และสังคมร่วมกันในการรักษา
บทบาทหลักคือการประเมินที่เป็นระบบ อธิบายทางเลือกอย่างชัดเจน และออกแบบแผนรักษาที่สอดคล้องกับชีวิตจริงของแต่ละคน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

แนวทางการทำงานยึดหลักฐานเชิงประจักษ์ผสานประสบการณ์ภาคสนามยาวนานหลายทศวรรษ จึงเชื่อมระหว่างงานคลินิกและการให้ความรู้สังคมได้อย่างกลมกลืน
ผู้รับบริการจะได้พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเล่าเรื่องราว ตั้งเป้าหมายร่วมกัน และติดตามผลอย่างเป็นขั้นตอน

ประวัติการศึกษา

จุดเริ่มต้นของเส้นทางวิชาชีพคือความรักในศาสตร์แพทย์และความสนใจต่อจิตใจมนุษย์ ซึ่งผลักดันให้พัฒนาความรู้เฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง

  • พ.ศ. 2541 แพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • พ.ศ. 2544 วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวชศาสตร์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
  • พ.ศ. 2546 ดูงานด้านการบำบัดยาเสพติด ที่ Chicago สหรัฐอเมริกา
  • พ.ศ. 2551 ดูงานด้านการบำบัดความคิดและพฤติกรรม ที่ Sydney ออสเตรเลีย

ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งในและต่างประเทศช่วยให้แนวทางการรักษาทันสมัย เปิดรับองค์ความรู้ใหม่ และปรับใช้ได้เหมาะสมกับผู้ป่วยชาวไทยหลากหลายบริบท

อาจารย์ พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ

ประสบการณ์ทำงาน

เส้นทางอาชีพยาวนานสะท้อนความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพงานจิตเวชของประเทศ ผ่านทั้งงานคลินิก งานพัฒนา และงานถ่ายทอดองค์ความรู้

  • พ.ศ. 2545–2567 สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ดูแลงานคลินิก วางระบบบริการ และทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพอย่างใกล้ชิด
  • วิทยากรฝึกอบรมด้านจิตบำบัดแนวพุทธ ของราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ถ่ายทอดประสบการณ์สู่บุคลากรด่านหน้าและชุมชนวิชาชีพ

ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เข้าใจปัญหาสุขภาพจิตในระดับโครงสร้างและระดับปัจเจก พร้อมทั้งมีทักษะในการประสานงานกับครอบครัว ที่ทำงาน และหน่วยบริการต่างๆ

ความเชี่ยวชาญทางคลินิก

การดูแลของแพทย์มุ่งเน้นความปลอดภัยทางอารมณ์ การตัดสินใจร่วมกัน และผลลัพธ์ที่วัดได้จริง
เทคนิคที่เลือกใช้จะขึ้นกับเป้าหมาย อาการ และทรัพยากรของผู้ป่วยแต่ละราย

  • จิตเวชทั่วไป ครอบคลุมภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ ภาวะหมดไฟ ปัญหาสัมพันธภาพ และภาวะหลังเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจ
  • จิตบำบัดแบบประคับประคอง เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการเสริมพลังใจอย่างเร่งด่วน วางกรอบการใช้ชีวิต และเพิ่มทักษะเผชิญปัญหา
  • สตินำบัด ใช้สติเป็นฐานเพื่อตระหนักรู้อารมณ์ ความคิด และสัญญาณจากร่างกาย เปิดทางให้เลือกตอบสนองอย่างตั้งใจ
  • จิตบำบัดเชิงจิตพลวัต สำรวจรากที่มาของความขัดแย้งภายใน รูปแบบความสัมพันธ์ และประสบการณ์ชีวิตที่ยังมีอิทธิพลต่อปัจจุบัน

จุดเด่นของจิตบำบัดแบบประคับประคอง

แนวทางนี้ให้ความสำคัญกับการประคับประคองอารมณ์เฉียบพลัน เสริมพลังจุดแข็ง และสร้างกิจวัตรที่ช่วยคงสมดุลชีวิต
ผู้ป่วยมักรู้สึกมั่นคงขึ้นในช่วงวิกฤต และพร้อมต่อยอดด้วยการบำบัดเชิงลึกเมื่ออาการเริ่มทรงตัว

พลังของสตินำบัดในชีวิตประจำวัน

สติช่วยเพิ่มพื้นที่ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับการตอบสนอง ทำให้เลือกวิธีที่อ่อนโยนต่อใจและสอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว
การฝึกแบบสั้นและสม่ำเสมอช่วยลดการหมกมุ่นกับความคิดลบ เพิ่มสมาธิ และฟื้นตัวจากความเครียดได้เร็วขึ้น

ทำความเข้าใจตัวตนผ่านจิตพลวัต

จิตบำบัดเชิงจิตพลวัตช่วยให้เห็นแบบแผนซ้ำที่ทำให้ทุกข์ เช่น ความกลัวการถูกปฏิเสธหรือบทบาทที่กดทับความต้องการแท้จริง
เมื่อเห็นรากปัญหา ผู้ป่วยจะค่อยๆ ปรับวิธีสัมพันธ์กับตนเองและผู้อื่นให้เหมาะกับชีวิตปัจจุบัน

ปรัชญาการรักษา

อาจารย์ พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ ยึดหลักการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในการตัดสินใจของผู้ป่วย
การสื่อสารโปร่งใสทำให้เข้าใจโรค วิธีรักษา ผลข้างเคียง และข้อจำกัดอย่างรอบด้าน จึงร่วมกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง

แนวคิดแบบองค์รวมคำนึงถึงชีวภาพ จิตใจ และสังคมในเวลาเดียวกัน
แผนการรักษาจึงผสานการใช้ยาอย่างสมเหตุผล จิตบำบัด และการปรับวิถีชีวิต เพื่อให้ผลลัพธ์ยั่งยืน

กลุ่มปัญหาที่พบได้บ่อย

ผู้ที่มาปรึกษามักมีเป้าหมายและฉากชีวิตแตกต่างกัน แพทย์จึงปรับแผนให้พอดีกับบริบทของแต่ละคน

  • ความวิตกกังวลเรื้อรัง อาการแพนิค และความคิดกังวลซ้ำ
  • ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกหมดพลัง และการตำหนิตนเอง
  • นอนไม่หลับ หลับตื้น หรือวงจรการนอนผิดปกติ
  • ความเครียดจากงาน ความสัมพันธ์ตึงเครียดในครอบครัว หรือการเปลี่ยนผ่านบทบาท
  • ผลกระทบจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจที่ยังคงค้างคา

รายการนี้เป็นเพียงตัวอย่าง การประเมินรายบุคคลยังคงเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสม

กระบวนการดูแลผู้ป่วย

เพื่อให้การรักษาโปร่งใสและวัดผลได้ ทุกเคสจะเดินตามขั้นตอนหลักที่ยืดหยุ่นตามอาการจริง

  1. นัดหมายและคัดกรองเบื้องต้น
    ทีมงานสอบถามอาการ ระยะเวลา ปัจจัยกระตุ้น ยาที่ใช้อยู่ และความคาดหวัง เพื่อวางเวลาพบและเตรียมเอกสารให้พร้อม
  2. ซักประวัติและประเมินทางจิตเวช
    เก็บข้อมูลชีวภาพ จิตใจ และสังคมแบบองค์รวม อาจมีแบบประเมินมาตรฐานหรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วยตามความจำเป็น
  3. สรุปแผนรักษาร่วมกัน
    กำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดความก้าวหน้า ความถี่ในการพบ และงานบ้านที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
  4. ติดตามผลและปรับแผน
    ประเมินผลตามระยะ ปรับขนาดยา เทคนิคบำบัด และแผนกิจวัตร พร้อมทบทวนอุปสรรคที่พบเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

สิ่งที่ผู้ป่วยมักได้ฝึก

การดูแลที่ดีไม่ได้จบในห้องตรวจ แต่ต่อยอดสู่ชีวิตประจำวันอย่างจับต้องได้

  • การบันทึกอารมณ์ เหตุการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเห็นแบบแผนที่กระตุ้นอาการ
  • เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจช้า การยืดเหยียด และการสังเกตสัญญาณร่างกาย
  • การจัดการความคิดอัตโนมัติด้วยกรอบคำถามที่อ่อนโยนและมีเหตุผล
  • การวางตารางกิจวัตรที่คงสภาพสมดุล เช่น เวลาเข้านอน ตื่นเช้า และกิจกรรมเติมพลัง
  • การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์กับคนใกล้ชิดเพื่อลดความตึงเครียด

การใช้ยาอย่างสมเหตุผล

การใช้ยาจะพิจารณาเฉพาะเมื่อมีข้อบ่งชี้ชัดเจน โดยยึดหลักขนาดต่ำสุดที่ได้ผลและติดตามผลข้างเคียงอย่างสม่ำเสมอ
แพทย์อธิบายข้อดีและข้อจำกัดของยาเพื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจบนข้อมูลจริง พร้อมแผนหยุดหรือปรับยาอย่างปลอดภัยเมื่ออาการดีขึ้น

การทำงานแบบทีมสหสาขา

หลายกรณีต้องการทรัพยากรจากหลายวิชาชีพร่วมกัน ตั้งแต่จิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ ไปจนถึงนักกิจกรรมบำบัด
การสื่อสารที่ดีระหว่างทีมช่วยให้แผนรักษาเดินไปในทิศทางเดียวกันและไม่หลุดช่วง

เมื่อต้องประสานสถานศึกษา ที่ทำงาน หรือครอบครัว จะคงหลักการรักษาความลับและการขอความยินยอมอย่างเคร่งครัด
วิธีทำงานเช่นนี้ทำให้ผลลัพธ์ยั่งยืนและเป็นมิตรกับชีวิตจริงมากขึ้น

การให้ความรู้และการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

ผู้ป่วยและครอบครัวจะได้รับความรู้ที่เข้าใจง่ายเกี่ยวกับกลไกของอาการ แนวทางดูแลตนเอง และสัญญาณเตือนภัยส่วนบุคคล
มีการวางแผนคงสภาพตั้งแต่ช่วงกลางของการรักษา เพื่อป้องกันการกำเริบและสร้างความมั่นใจว่าพร้อมรับมือหากมีปัจจัยกระตุ้น

คำถามที่พบบ่อย

ต้องพบกี่ครั้งจึงเห็นผล?

จำนวนครั้งแตกต่างกันไปตามความซับซ้อนของอาการ หลายเคสเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 4–6 สัปดาห์ เมื่อมีการติดตามสม่ำเสมอและปฏิบัติตามแผนร่วมกัน

การใช้ยาจำเป็นเสมอหรือไม่?

ไม่จำเป็นเสมอไป บางเคสตอบสนองต่อจิตบำบัดและการปรับวิถีชีวิตได้ดี ส่วนเคสที่อาการรุนแรงหรือเรื้อรังอาจต้องผสานการใช้ยาอย่างเหมาะสม

หากยังไม่พร้อมพูดเรื่องยากต้องทำอย่างไร?

สามารถกำหนดขอบเขตการเล่าได้เสมอ การรักษาจะค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากประเด็นที่ปลอดภัยและค่อยๆ สำรวจเรื่องลึกเมื่อรู้สึกพร้อม

จะเริ่มต้นเตรียมตัวอย่างไร?

แนะนำให้จดอาการสำคัญ ระยะเวลา ปัจจัยที่ทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลง รายชื่อยาและอาหารเสริม รวมถึงตั้งเป้าหมายย่อยหนึ่งถึงสองข้อสำหรับเดือนแรก

วิธีนัดหมายและเริ่มต้น

การเริ่มต้นคุยกับผู้เชี่ยวชาญคือก้าวสำคัญของการดูแลใจ
สามารถติดต่อผ่านช่องทางของคลินิกเพื่อรับคำแนะนำขั้นตอน เอกสารที่ต้องเตรียม และช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการพบครั้งแรก

เมื่อพร้อมแล้วจะร่วมกันกำหนดแผนโดยคำนึงถึงเป้าหมายชีวิต ทรัพยากรที่มี และสิ่งที่ทำได้จริงในแต่ละสัปดาห์
การเดินทางครั้งนี้ตั้งใจให้ปลอดภัย มีความหมาย และนำไปสู่ความมั่นคงทางใจที่ยั่งยืน

สรุป

อาจารย์ พลภัทร์ โล่เสถียรกิจ คือจิตแพทย์ที่ผสานศาสตร์การแพทย์กับความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
ความเชี่ยวชาญครอบคลุมจิตเวชทั่วไป จิตบำบัดแบบประคับประคอง สตินำบัด และจิตบำบัดเชิงจิตพลวัต ซึ่งปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละกรณี

ประสบการณ์ยาวนานจากสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาและบทบาทวิทยากรระดับชาติ ช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลให้ทันสมัยและใกล้ชีวิตจริง
หากคุณกำลังมองหาการดูแลที่โปร่งใส เป็นระบบ และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การนัดหมายเพื่อปรึกษาคือจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการกลับคืนสู่สมดุลของชีวิต

Related articles